TIPS for Long Life
1. ร่างกายประกอบไปด้วยน้ำถึง 60 % ( คิดจากน้ำหนัก ) และจะสูญเสียน้ำวันละประมาณ 2 ลิตร จากเหงื่อ , ปัสสาวะ และการหายใจ ….นี่แค่อยู่เฉยๆ นะ ถ้าต้องออกกำลังด้วย ก็ต้องคิดเพิ่มต่างหาก ดังนั้นควรดื่มน้ำเข้าไปทดแทนอย่างน้อยวันละ 8 แก้ว และถ้าเล่นกีฬา หรือออกกำลังกายก็ควร( ต้อง ) ดื่มเพิ่มขึ้นอีกชั่วโมงละ 1 ลิตร ( 4 แก้ว )
2. ถ้ารู้สึกปวดหัว หรือเวียนหัว ลองดื่มน้ำเข้าไปสักแก้วสองแก้วก่อนจะไปหายาแก้ปวด เพราะเนื้อสมองนั้นประกอบด้วยน้ำถึง 85 % ดังนั้นร่างกายขาดน้ำไปแค่หน่อยเดียว อาการปวดหัวก็จะถามหาเอาง่ายๆั
3. แม้จะรู้ ๆ กันว่าต้องดื่มน้ำวันละ 8 แก้ว แต่ก็มีแค่ 1 ใน 10 คนเท่านั้นที่จะทำได้ ลองหมั่นสังเกตปัสสาวะที่มีสีเข้มๆ หรือลองดึงหลังมือดู ถ้าเนื้อเด้งกลับอย่างช้าๆ ก็แปลว่าร่างกายขาดน้ำแล้วล่ะ
4. เลี่ยงการดื่มน้ำอัดลมทุกชนิด เพราะฟองก๊าซที่ผสมอยู่นั้นมีสภาพเป็นกรด ซึ่งนอกจากจะไม่ดีต่อกระเพาะแล้ว ยังทำให้เรอออกมาด้วย
5. น้ำแร่สำหรับดื่ม แต่ละยี่ห้อนั้นจะมีส่วนผสมของแร่ธาตุต่างๆ ไม่เท่ากัน แต่ถ้าชอบจริงๆ ก็พยายามเลือกยี่ห้อที่มีโซเดียมผสมอยู่น้อยที่สุด
6. เลือกรับประทานอาหารที่มีน้ำเป็นส่วนประกอบเยอะๆ เช่น นม มะเขือเทศ แตงกวา ฟัก ฯลฯ
7. เลี่ยงการอาบน้ำอุ่น ( จัด ) ในตอนเช้าำ เพราะการอาบ หรือแช่น้ำที่อุณหภูมิ 40 องศาเซลเซียส ( ขึ้นไป ) นานกว่า 5 นาที จะทำให้ร่างกายอ่อนเพลียได้ … เก็บน้ำอุ่นไว้อาบตอนเย็นหลังเลิกงาน หรือก่อนเข้านอนจะดีกว่ากันเยอะ
8. งดดื่มน้ำก่อนเข้านอน 2-3 ชั่วโมง เพื่อให้ไตขับน้ำลงไปอยู่ในกระเพาะปัสสาวะทั้งหมดเสียก่อน จะได้เข้าห้องน้ำทีเดียวก่อนเข้านอน ไม่ต้องลุกขึ้นมากลางดึกให้เสียอารมณ์
9. เดินวันละ 30 นาทีเป็นประจำ จะทำให้สุขภาพร่างกายดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
10. แปรงฟันแบบแห้ง ๆ ด้วยแปรงนุ่มๆ จากนั้นก็บ้วนน้ำทิ้งเสียรอบนึง ตามด้วยการแปรงฟันด้วยยาสีฟันตามปกติ จะทำให้ฟันสะอาดขึ้นอีก 60 % แถมลดอาการเลือดออกตามไรฟันได้อีก 50 %
11. ทดสอบประสิทธิภาพของปอดได้ง่ายๆ ด้วยการถือเทียนที่จุดไฟติดแล้วไว้ห่างจากปาก 15 ซม. อ้าปากหายใจเข้าให้เต็มที่แล้วเป่าลม " ฮ่อ " ออกมาจากปากโดยไม่ห่อปาก ถ้าเปลวไฟดับได้ ก็แปลว่าปอดคุณยังแจ๋วอยู่
12. ทดสอบการได้ยินของหู ด้วยการเข้าไปอยู่ในห้องเงียบๆ ยื่นแขนออกไปด้านข้างให้สุด แล้วใช้นิ้วโป้ง กับนิ้วชี้ถูกันไปมา หดแขนเข้ามาหาตัวช้าๆ เมื่อหูสามารถได้ยินเสียงถูนิ้ว ก็ให้วัดระยะจากหูถึงนิ้วไว้ แล้วทดสอบกับหูอีกข้าง ผู้ที่มีความปกติจะได้ยินเสียงถูนิ้วในระยะห่าง 15-20 ซ.ม.
13. งีบกลางวันสัก 20 นาที ทุกๆ วัน จะช่วยคลายเครียด และทำให้ประสิทธิภาพการทำงานดีขึ้น แต่อย่างีบนานกว่านั้น เพราะจะทำให้ง่วงตลอดบ่ายแทน และเวลาเหมาะสมคือ ถ้าคุณตื่นนอนตอนเช้าเวลา 6 โมง ก็ควรงีบตอนบ่ายสอง
14. การออกกำลังกาย ช่วยลดความเสี่ยงในการเป็นโรคอัลไซเมอร์ เพราะอาหาร และออกซิเจนสามารถไปเลี้ยงสมองได้มากขึ้น แถมยังทำให้อารมณ์แจ่มใสด้วย
15. ผู้สูงอายุทั้งหลายอย่าอยู่โดดเดี่ยว การวิจัยจากทั่วโลกยืนยันตรงกันว่าการเข้าสังคม หรือมีเพื่อนฝูงตลอดเวลาสามารถยืดอายุคนไปได้อีกไม่ต่ำกว่า 5 ปีเชียวนะ
16. ชีวิตสมรสที่ไม่ราบรื่น จะเพิ่มอัตราการเจ็บป่วย ( ด้วยโรคภัย ) ขึ้นมากถึง 35 % และทำให้อายุสั้นลงอีกถึง 4 ปี นี่เป็นตัวเลขโดยเฉลี่ยนะจ๊ะ เพราะถ้ารวมตัวเลขโหดๆ ประเภทอัตราบาดเจ็บจากการทำร้ายร่างกายกันและกันเข้าไปด้วย เดี๋ยวจะอยู่เป็นโสดกันทั้งเมือง
17. เพศชายเป็นนักสร้างสรรค์ ดังนั้นถ้าอยากมีสุขภาพจิตดี ต้องหมั่นตั้งเป้าหมาย หรือสร้างฝันอยู่ตลอดเวลา แล้วก็พยายามสร้าง หรือไขว่คว้ามาให้ได้ด้วย แต่ก็อย่าจริงจังจนกลายเป็นโรคเครียดแทนล่ะ
18. การนอนหลับวันละ 7-9 ชั่วโมง เป็นสิ่งสำคัญตลอดชีวิตของมนุษย์ ดังนั้นเพื่อให้นอนหลับอย่างมประสิทธิภาพ ควรงดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ คาเฟอีน ( กาแฟ ) และนิโคติน ( บุหรี่ ) ตลอดช่วงบ่ายยาวจนถึงเข้านอน เข้านอนให้เป็นเวลาทุกคืน อย่าดูโทรทัศน์ อ่านหนังสือ หรือทานของกินบนที่นอน เพราะที่นอนนั้นเอาไว้นอนหลับ กับทำอะไรนอนๆ เท่านั้น และถ้านอนไม่หลับภายในครึ่งชั่วโมง ก็จงลุกออกไปหาอะไรที่ผ่อนคลายทำไปก่อน ( เช่น อ่านหนังสือ ) จนกว่าจะรู้สึกง่วง ค่อยกลับขึ้นเตียงอีกครั้ง
19. อาการนอนกรนเกิดขึ้นเฉพาะเวลานอนหงายเท่านั้น ดังนั้นการแก้ไขง่ายๆ คือหาวิธีไม่ให้นอนหงาย ด้วยการสวมเสื้อยืดที่มีกระเป๋าเสื้ออยู่ด้านหลังหลัง แล้วเอาลูกกอล์ฟใส่ไว้ในกระเป๋านั้น ให้เป็นเครื่องปลุกเวลาพลิกตัวนอนหงาย ก่อนที่จะโดนคนข้างๆ ตัวปลุกแบบไม่สุนทรี
20. หยุดอาการสะอึกได้ง่ายๆ ด้วยการใช้ก้อนน้ำแข็งโป๊ะบริเวณลูกกระเดือก เพราะความเย็นจะไปชะลอสัญญาณกระตุ้นจากสมอง ที่จะไปยังกระบังลมให้ช้าลง
21. อาการปวดหลังเมื่อขับรถนานๆ เกิดจากการนั่งหลังโก่ง แก้ไขง่ายๆ ด้วยการปรับกระจกมองหลังให้เงยขึ้น ซึ่งจะช่วยบังคับให้ต้องนั่งตัวตรงโดยธรรมชาติ
22. ลดความเครียดด้วยการทานกล้วยหอมวันละใบ เพราะสารโปรแตสเซียมในกล้วย ช่วยลดความดันโลหิตได้
23. น้ำส้มคั้นสามารถแก้อาการเมาค้างได้เป็นอย่างดี เพราะปริมาณฟรุคโตสมากๆ จะเร่งให้ร่างกายเผาผลาญแอลกอฮอล์เพิ่มขึ้นอีก 25 %
24. มีมะเร็งร้ายที่ถ่ายทอดโดยพันธุ์กรรมเพียง 10 % เท่านั้น ที่เหลือเป็นผลจากสิ่งแวดล้อม และพฤติกรรมการบริโภคที่ไม่ดี การทานผักผลไม้ให้มากๆ ในแต่ละวัน จะลดอัตราการเสี่ยงของการเกิดโรคมะเร็งในทางเดินอาหารได้มากถึง 70 %
25. สารเมลาโทนินที่มีมากในผลเชอรี่ ช่วยทำให้นอนหลับง่ายขึ้น
26. จากการวิจัยพบว่า แค่ทานซอสมะเขือเทศบ่อยๆ เป็นประจำ ก็สามารถลดความเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งในอัณฑะได้ถึง 34 % และจะได้ผลมากขึ้นถ้าทานมะเขือเทศสดๆ เป็นประจำ แต่ถ้าไม่ชอบรสชาดก็ให้หันไปทานแตงโมแทน ก็จะได้ผลเหมือนกัน
27. ทานปลาแซลมอนแค่สัปดาห์ละมื้อ เป็นประจำ ก็ลดอัตราการเสี่ยงเป็นโรคหัวใจได้ถึง 50 % เพราะปลาแซลมอนมีกรดไขมันที่เรียกว่า โอเมก้าทรี ( Omega-3 ) อย่างมาก กว่าปลาชนิดอื่น ซึ่งนอกจากมีประโยชน์ต่อหัวใจแล้ว ยังช่วยลดอาการไขข้ออักเสบต่างๆ ได้อีกด้วย แต่รายงานไม่ได้บอกว่ากิน " ปลาทู " แทนจะได้หรือป่าว ?
28. ผลไม้เปลือกแข็ง เช่น เกาลัด มันฮ่อ ฯลฯ มีวิตามิน E อยู่เยอะ ซึ่งช่วยป้องกันโรคอัลไซเมอร์ได้เป็นอย่างดี และจากการวิจัยยังพบว่าผู้ที่ทานผลไม้เปลือกแข็งเหล่านี้ ยังมีอัตราการเป็นโรคหัวใจต่ำมาก
29. กระเทียมมีสารต้านไวรัสอยู่เยอะแยะ และยังกระตุ้นภูมิคุ้มกันโรคให้กับร่างกายได้อย่างดี จึงเป็นอาหารต้านหวัดหมายเลขหนึ่ง ที่ยังไม่มีใครแย่งตำแหน่งไปได้
30. แก้ปัญหาขอบตาคล้ำ ด้วยการทานสัปปะรด กับมะละกอเยอะๆ เพราะเอนไซม์ที่มีมากในผลไม้ทั้งสองอย่างนี้ ช่วยทำให้เนื้อเยื่อดูดซับเลือดที่จับตั วแข็งเป็นก้อนๆ ทั้งหลายได้ดี
31. ลดน้ำหนักง่ายๆ โดยไม่ต้องอดอาหาร ด้วยการเหลืออาหารไว้ 1 ใน 5 ของปริมาณที่คุณทานตามปกติ รอสัก 20 นาทีก็จะรู้สึกอิ่มได้เองเหมือนๆ กับการโซ้ยจนหมดจาน ทั้งนี้เพราะกว่าร่างกายจะย่อยอาหาร และซึมซับสารต่างๆ เข้าสู่กระแสเลือดนั้น ต้องใช้เวลาพอสมควร ก็ราวๆ 20 นาที ที่ให้รอนั่นแหละ
หมายเหตุ คัดลอกมาจากนิตยาสาร MBT ประจำเดือน ตุลาคม 2546 ฉบับที่ 63
ปล. ผมไม่ใช่ หมอ และ ไม่มีความรู้ทางการแพทย์ โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน
1. ร่างกายประกอบไปด้วยน้ำถึง 60 % ( คิดจากน้ำหนัก ) และจะสูญเสียน้ำวันละประมาณ 2 ลิตร จากเหงื่อ , ปัสสาวะ และการหายใจ ….นี่แค่อยู่เฉยๆ นะ ถ้าต้องออกกำลังด้วย ก็ต้องคิดเพิ่มต่างหาก ดังนั้นควรดื่มน้ำเข้าไปทดแทนอย่างน้อยวันละ 8 แก้ว และถ้าเล่นกีฬา หรือออกกำลังกายก็ควร( ต้อง ) ดื่มเพิ่มขึ้นอีกชั่วโมงละ 1 ลิตร ( 4 แก้ว )
2. ถ้ารู้สึกปวดหัว หรือเวียนหัว ลองดื่มน้ำเข้าไปสักแก้วสองแก้วก่อนจะไปหายาแก้ปวด เพราะเนื้อสมองนั้นประกอบด้วยน้ำถึง 85 % ดังนั้นร่างกายขาดน้ำไปแค่หน่อยเดียว อาการปวดหัวก็จะถามหาเอาง่ายๆั
3. แม้จะรู้ ๆ กันว่าต้องดื่มน้ำวันละ 8 แก้ว แต่ก็มีแค่ 1 ใน 10 คนเท่านั้นที่จะทำได้ ลองหมั่นสังเกตปัสสาวะที่มีสีเข้มๆ หรือลองดึงหลังมือดู ถ้าเนื้อเด้งกลับอย่างช้าๆ ก็แปลว่าร่างกายขาดน้ำแล้วล่ะ
4. เลี่ยงการดื่มน้ำอัดลมทุกชนิด เพราะฟองก๊าซที่ผสมอยู่นั้นมีสภาพเป็นกรด ซึ่งนอกจากจะไม่ดีต่อกระเพาะแล้ว ยังทำให้เรอออกมาด้วย
5. น้ำแร่สำหรับดื่ม แต่ละยี่ห้อนั้นจะมีส่วนผสมของแร่ธาตุต่างๆ ไม่เท่ากัน แต่ถ้าชอบจริงๆ ก็พยายามเลือกยี่ห้อที่มีโซเดียมผสมอยู่น้อยที่สุด
6. เลือกรับประทานอาหารที่มีน้ำเป็นส่วนประกอบเยอะๆ เช่น นม มะเขือเทศ แตงกวา ฟัก ฯลฯ
7. เลี่ยงการอาบน้ำอุ่น ( จัด ) ในตอนเช้าำ เพราะการอาบ หรือแช่น้ำที่อุณหภูมิ 40 องศาเซลเซียส ( ขึ้นไป ) นานกว่า 5 นาที จะทำให้ร่างกายอ่อนเพลียได้ … เก็บน้ำอุ่นไว้อาบตอนเย็นหลังเลิกงาน หรือก่อนเข้านอนจะดีกว่ากันเยอะ
8. งดดื่มน้ำก่อนเข้านอน 2-3 ชั่วโมง เพื่อให้ไตขับน้ำลงไปอยู่ในกระเพาะปัสสาวะทั้งหมดเสียก่อน จะได้เข้าห้องน้ำทีเดียวก่อนเข้านอน ไม่ต้องลุกขึ้นมากลางดึกให้เสียอารมณ์
9. เดินวันละ 30 นาทีเป็นประจำ จะทำให้สุขภาพร่างกายดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
10. แปรงฟันแบบแห้ง ๆ ด้วยแปรงนุ่มๆ จากนั้นก็บ้วนน้ำทิ้งเสียรอบนึง ตามด้วยการแปรงฟันด้วยยาสีฟันตามปกติ จะทำให้ฟันสะอาดขึ้นอีก 60 % แถมลดอาการเลือดออกตามไรฟันได้อีก 50 %
11. ทดสอบประสิทธิภาพของปอดได้ง่ายๆ ด้วยการถือเทียนที่จุดไฟติดแล้วไว้ห่างจากปาก 15 ซม. อ้าปากหายใจเข้าให้เต็มที่แล้วเป่าลม " ฮ่อ " ออกมาจากปากโดยไม่ห่อปาก ถ้าเปลวไฟดับได้ ก็แปลว่าปอดคุณยังแจ๋วอยู่
12. ทดสอบการได้ยินของหู ด้วยการเข้าไปอยู่ในห้องเงียบๆ ยื่นแขนออกไปด้านข้างให้สุด แล้วใช้นิ้วโป้ง กับนิ้วชี้ถูกันไปมา หดแขนเข้ามาหาตัวช้าๆ เมื่อหูสามารถได้ยินเสียงถูนิ้ว ก็ให้วัดระยะจากหูถึงนิ้วไว้ แล้วทดสอบกับหูอีกข้าง ผู้ที่มีความปกติจะได้ยินเสียงถูนิ้วในระยะห่าง 15-20 ซ.ม.
13. งีบกลางวันสัก 20 นาที ทุกๆ วัน จะช่วยคลายเครียด และทำให้ประสิทธิภาพการทำงานดีขึ้น แต่อย่างีบนานกว่านั้น เพราะจะทำให้ง่วงตลอดบ่ายแทน และเวลาเหมาะสมคือ ถ้าคุณตื่นนอนตอนเช้าเวลา 6 โมง ก็ควรงีบตอนบ่ายสอง
14. การออกกำลังกาย ช่วยลดความเสี่ยงในการเป็นโรคอัลไซเมอร์ เพราะอาหาร และออกซิเจนสามารถไปเลี้ยงสมองได้มากขึ้น แถมยังทำให้อารมณ์แจ่มใสด้วย
15. ผู้สูงอายุทั้งหลายอย่าอยู่โดดเดี่ยว การวิจัยจากทั่วโลกยืนยันตรงกันว่าการเข้าสังคม หรือมีเพื่อนฝูงตลอดเวลาสามารถยืดอายุคนไปได้อีกไม่ต่ำกว่า 5 ปีเชียวนะ
16. ชีวิตสมรสที่ไม่ราบรื่น จะเพิ่มอัตราการเจ็บป่วย ( ด้วยโรคภัย ) ขึ้นมากถึง 35 % และทำให้อายุสั้นลงอีกถึง 4 ปี นี่เป็นตัวเลขโดยเฉลี่ยนะจ๊ะ เพราะถ้ารวมตัวเลขโหดๆ ประเภทอัตราบาดเจ็บจากการทำร้ายร่างกายกันและกันเข้าไปด้วย เดี๋ยวจะอยู่เป็นโสดกันทั้งเมือง
17. เพศชายเป็นนักสร้างสรรค์ ดังนั้นถ้าอยากมีสุขภาพจิตดี ต้องหมั่นตั้งเป้าหมาย หรือสร้างฝันอยู่ตลอดเวลา แล้วก็พยายามสร้าง หรือไขว่คว้ามาให้ได้ด้วย แต่ก็อย่าจริงจังจนกลายเป็นโรคเครียดแทนล่ะ
18. การนอนหลับวันละ 7-9 ชั่วโมง เป็นสิ่งสำคัญตลอดชีวิตของมนุษย์ ดังนั้นเพื่อให้นอนหลับอย่างมประสิทธิภาพ ควรงดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ คาเฟอีน ( กาแฟ ) และนิโคติน ( บุหรี่ ) ตลอดช่วงบ่ายยาวจนถึงเข้านอน เข้านอนให้เป็นเวลาทุกคืน อย่าดูโทรทัศน์ อ่านหนังสือ หรือทานของกินบนที่นอน เพราะที่นอนนั้นเอาไว้นอนหลับ กับทำอะไรนอนๆ เท่านั้น และถ้านอนไม่หลับภายในครึ่งชั่วโมง ก็จงลุกออกไปหาอะไรที่ผ่อนคลายทำไปก่อน ( เช่น อ่านหนังสือ ) จนกว่าจะรู้สึกง่วง ค่อยกลับขึ้นเตียงอีกครั้ง
19. อาการนอนกรนเกิดขึ้นเฉพาะเวลานอนหงายเท่านั้น ดังนั้นการแก้ไขง่ายๆ คือหาวิธีไม่ให้นอนหงาย ด้วยการสวมเสื้อยืดที่มีกระเป๋าเสื้ออยู่ด้านหลังหลัง แล้วเอาลูกกอล์ฟใส่ไว้ในกระเป๋านั้น ให้เป็นเครื่องปลุกเวลาพลิกตัวนอนหงาย ก่อนที่จะโดนคนข้างๆ ตัวปลุกแบบไม่สุนทรี
20. หยุดอาการสะอึกได้ง่ายๆ ด้วยการใช้ก้อนน้ำแข็งโป๊ะบริเวณลูกกระเดือก เพราะความเย็นจะไปชะลอสัญญาณกระตุ้นจากสมอง ที่จะไปยังกระบังลมให้ช้าลง
21. อาการปวดหลังเมื่อขับรถนานๆ เกิดจากการนั่งหลังโก่ง แก้ไขง่ายๆ ด้วยการปรับกระจกมองหลังให้เงยขึ้น ซึ่งจะช่วยบังคับให้ต้องนั่งตัวตรงโดยธรรมชาติ
22. ลดความเครียดด้วยการทานกล้วยหอมวันละใบ เพราะสารโปรแตสเซียมในกล้วย ช่วยลดความดันโลหิตได้
23. น้ำส้มคั้นสามารถแก้อาการเมาค้างได้เป็นอย่างดี เพราะปริมาณฟรุคโตสมากๆ จะเร่งให้ร่างกายเผาผลาญแอลกอฮอล์เพิ่มขึ้นอีก 25 %
24. มีมะเร็งร้ายที่ถ่ายทอดโดยพันธุ์กรรมเพียง 10 % เท่านั้น ที่เหลือเป็นผลจากสิ่งแวดล้อม และพฤติกรรมการบริโภคที่ไม่ดี การทานผักผลไม้ให้มากๆ ในแต่ละวัน จะลดอัตราการเสี่ยงของการเกิดโรคมะเร็งในทางเดินอาหารได้มากถึง 70 %
25. สารเมลาโทนินที่มีมากในผลเชอรี่ ช่วยทำให้นอนหลับง่ายขึ้น
26. จากการวิจัยพบว่า แค่ทานซอสมะเขือเทศบ่อยๆ เป็นประจำ ก็สามารถลดความเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งในอัณฑะได้ถึง 34 % และจะได้ผลมากขึ้นถ้าทานมะเขือเทศสดๆ เป็นประจำ แต่ถ้าไม่ชอบรสชาดก็ให้หันไปทานแตงโมแทน ก็จะได้ผลเหมือนกัน
27. ทานปลาแซลมอนแค่สัปดาห์ละมื้อ เป็นประจำ ก็ลดอัตราการเสี่ยงเป็นโรคหัวใจได้ถึง 50 % เพราะปลาแซลมอนมีกรดไขมันที่เรียกว่า โอเมก้าทรี ( Omega-3 ) อย่างมาก กว่าปลาชนิดอื่น ซึ่งนอกจากมีประโยชน์ต่อหัวใจแล้ว ยังช่วยลดอาการไขข้ออักเสบต่างๆ ได้อีกด้วย แต่รายงานไม่ได้บอกว่ากิน " ปลาทู " แทนจะได้หรือป่าว ?
28. ผลไม้เปลือกแข็ง เช่น เกาลัด มันฮ่อ ฯลฯ มีวิตามิน E อยู่เยอะ ซึ่งช่วยป้องกันโรคอัลไซเมอร์ได้เป็นอย่างดี และจากการวิจัยยังพบว่าผู้ที่ทานผลไม้เปลือกแข็งเหล่านี้ ยังมีอัตราการเป็นโรคหัวใจต่ำมาก
29. กระเทียมมีสารต้านไวรัสอยู่เยอะแยะ และยังกระตุ้นภูมิคุ้มกันโรคให้กับร่างกายได้อย่างดี จึงเป็นอาหารต้านหวัดหมายเลขหนึ่ง ที่ยังไม่มีใครแย่งตำแหน่งไปได้
30. แก้ปัญหาขอบตาคล้ำ ด้วยการทานสัปปะรด กับมะละกอเยอะๆ เพราะเอนไซม์ที่มีมากในผลไม้ทั้งสองอย่างนี้ ช่วยทำให้เนื้อเยื่อดูดซับเลือดที่จับตั วแข็งเป็นก้อนๆ ทั้งหลายได้ดี
31. ลดน้ำหนักง่ายๆ โดยไม่ต้องอดอาหาร ด้วยการเหลืออาหารไว้ 1 ใน 5 ของปริมาณที่คุณทานตามปกติ รอสัก 20 นาทีก็จะรู้สึกอิ่มได้เองเหมือนๆ กับการโซ้ยจนหมดจาน ทั้งนี้เพราะกว่าร่างกายจะย่อยอาหาร และซึมซับสารต่างๆ เข้าสู่กระแสเลือดนั้น ต้องใช้เวลาพอสมควร ก็ราวๆ 20 นาที ที่ให้รอนั่นแหละ
หมายเหตุ คัดลอกมาจากนิตยาสาร MBT ประจำเดือน ตุลาคม 2546 ฉบับที่ 63
ปล. ผมไม่ใช่ หมอ และ ไม่มีความรู้ทางการแพทย์ โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน