Would you like to react to this message? Create an account in a few clicks or log in to continue.

+4
>Useless<
Indielด็กlluว
●sHøNëN●
wanted
8 posters

    ชมรม ขนหัวลุก!!!

    wanted
    wanted
    .....
    .....


    Posts : 580
    Joined : 05/06/2009
    Location : ที่ๆคนหน้าตาดีอยู่
    Karma : 0

    ชมรม ขนหัวลุก!!! Empty ชมรม ขนหัวลุก!!!

    ตั้งหัวข้อ  wanted Sun Jan 17, 2010 2:05 pm

    ไม่มีอาไรมากก็แค่เอาเรื่องสยองขวัญมาลง แค่นี้แหละ

    เริ่มด้วยเรื่อง 10 เรื่องสยองขวัญ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่

    เรื่องที่ 1: ป๊อก ป๊อก ครืด

    เรื่องผีอันดับหนึ่งของ มหาลัย... ระยะเวลาที่เกิดเหตุการณ์ไม่ทราบแน่ชัดแต่สถานที่เกิดคือ หอหญิง ในสมัยที่มหาลัย ยังเป็นที่รกร้างอยู่มาก

    ถนนยังเป็นลูกรัง ถนนหน้าฝนเป็นโคลน รถไปมาลำบาก ตอนกลางคืนมืด ไม่มีแสงไฟ เรื่องเกิดกับ นักศึกษาสาว คู่หนึ่งอาศัยอยู่ที่ประมาณ ชั้น 2 หรือ 3 ของหอ

    ช่วงนั้นเป็นช่วงสอบ นักศึกษาต่างกำลังอ่านหนังสือกันอยู่ นักศึกษาหญิงคนหนึ่งไม่สบาย อ่านหนังสือในห้องตอนหัวค่ำแล้ว รูมเมทชวนไปทานข้าว
    แต่เพราะเป็นไข้อยู่จึงไปไม่ไหว อยากพักผ่อน พอเมทคนนั้นเห็นเพื่อนไม่สบาย ด้วยความเป็นห่วง จึงบอกว่าเดี๋ยวไปทานข้าวเองก็ได้ แล้วจะห่อข้าวมาฝากเพื่อนคนที่ไม่สบายก็บอกว่า ยังไงฝาก ซื้อลาดหน้า (หรือซักอย่างที่เป็นเส้นๆ) มาให้ทีละกัน กินแล้วจะได้กินยาเมท คนนั้นก็บอกว่าได้ๆ เดี๋ยวจะรีบไปรีบกลับ

    หลังจากที่เพื่อนออกไปจากห้อง คนที่ไม่สบายก็นั่งอ่านหนังสือต่อ อ่านได้ซักพักก็ไม่ไหว เพราะไข้ขึ้น จึงนอนรอ ต่อมามีความรู้สึกว่านานมากแล้ว เพื่อนทำไมยังไม่กลับมาซะที
    ตกดึก ฝนเริ่มตก นักศึกษาคนนั้นก็ตื่นขึ้นมาอ่านหนังสือต่อ ในใจเป็นห่วงเพื่อนเพราะออกไปนานมากยังไม่กลับ

    ซักพักนักศึกษาคนนั้นได้ยินเสียงเบาๆ ดังจากชั้นล่าง จากทางบันได ”ป๊อก…………ป๊อก………ป๊อก………ป๊อก…….” เสียงนั้นดังเป็นระยะๆ ใกล้เข้ามา จากทางบันได ดังขึ้นเรื่อยๆ เสียงเหมือนคนกำลังแบกของหนักบางอย่างขึ้นมา

    ”ป๊อก…………ป๊อก………ป๊อก………ป๊อก…….”

    และเสียงนั้นก็ดังมาจนถึงชั้นที่ห้องนักศึกษาหญิงคนนั้นอยู่ แล้วเสียงก็เปลี่ยนไป “ครื……..ด……..ครื………..ด…….ค..รื…ด” เสียงเหมือนคนกำลังลากอะไรซักอย่างใกล้ เข้ามาเรื่อย จนมาหยุดอยู่ที่หน้าห้อง

    “ครื……..ด……..ครื………..ด…….ค..รื…ด”

    นักศึกษาหญิงเริ่มเอะใจ และมองไปทางประตู ในใจนึกว่าเพื่อนกลับมาแล้ว แต่ยังเงียบ อึดใจนึง ก็มีเสียงเคาะห้อง


    “ก๊อก ก๊อก ก๊อก”

    แล้วเงียบไป นักศึกษาสะดุ้งสุดตัว คิดว่าไม่ใช่เพื่อนแน่แล้ว ถ้างั้นทำไมไม่เปิดเข้ามาเลย จึงเดินไปเปิดประตู ตรงลูกบิดประตูมีถุงใส่ห่อลาดหน้าแขวนอยู่ พอ เห็นห่อลาดหน้า ก็งง แล้วเพื่อนอยู่ไหน ทำไมไม่กลับมา หรือติดฝนเลยฝากคนอื่นเอามาให้ แต่ทำไมต้องเอามาแขวนไม่รอเจอกันก่อน จะได้รู้ว่าเป็นใคร แล้วทำไมเดินเร็วจัง มีแต่ รอยเปียกน้ำเป็นทางจากบันได….คิดต่างๆนา แต่แล้วก็แกะห่อลาดหน้าออกทานเสร็จก็ทานยาตาม ได้ซักพักก็ม่อยหลับไป

    รุ่งเช้า…………….มีคนมาเคาะห้องบอกว่าเพื่อนตายแล้ว นักศึกษาหญิงคนนั้นถูกฆ่าข่มขืนตรงพงหญ้าข้างทาง คาดว่าเหตุเกิดประมาณหัวค่ำ ลักษณะศพ สภาพแขนและ ขาทั้งสองข้างหักอาจเกิดจากการที่คนร้ายเอาท่อนไม้ทุบตีเพื่อไม่ให้หนี

    นักศึกษาหญิงที่ตายกำลังเดินทางกลับจากตลาด (ไม่แน่ใจว่าเป็นฝายหินหรือตลาดต้นพยอม) หลังจากทานข้าวเสร็จทุกทีจะไปกับเพื่อน แต่เพื่อนไม่สบายจึงไปคนเดียว โดย เพื่อนฝากซื้อข้าวห่อคนร้ายอาจเห็นว่าเป็นคนเดียวจึงลงมือ

    แล้วลาดหน้าเมื่อคืนล่ะ? ไม่มีใครรู้คำตอบแน่ชัด แต่จากที่ฟังกันมาคือหลังจากที่ตายไปแล้ว ด้วยความเป็นห่วงเพื่อนเพราะว่าไม่สบาย และยังหิว จึงนำห่อลาดหน้าที่ซื้อมาฝาก
    แต่จะไปส่งยังไง แขนหัก ขาหักหมดแล้ว….

    ลักษณะที่เขาเล่ามาคือพื่อนคนนั้นใช้ปากคาบถุงแล้วใช้คางเกยพาตัวเองมาจนถึงหอพักแล้วใช้คางเกยบันไดลากตัวเอง ขึ้นมา เป็นเสียง “ป๊อก ป๊อก” เสียง “ครืด” ที่ได้ยินคือเสียงลากตัวเองจากบันได มาจนถึงหน้าห้องปรากฎเป็นรอยเปียกน้ำยาวติดต่อกัน

    หลังจากส่งห่อลาดหน้าให้ได้แล้วก็หมดห่วง ตอนแรกทุกคนไม่เชื่อที่นักศึกษาคนนั้นเล่าแต่หลังจากที่นักศึกษาที่พักอยู่ข้างๆ ห้องยืนยันว่าในคืนนั้นได้ยินเสียงเหมือนคนกำลังยกของหนักและลากของหนักจากข้างล่าง ขึ้นมาแล้วทุกคนต่างเชื่อสนิทใจ
    เรื่องที่ 1: ป๊อก ป๊อก ครืด

    เรื่องผีอันดับหนึ่งของ มหาลัย... ระยะเวลาที่เกิดเหตุการณ์ไม่ทราบแน่ชัดแต่สถานที่เกิดคือ หอหญิง ในสมัยที่มหาลัย ยังเป็นที่รกร้างอยู่มาก

    ถนนยังเป็นลูกรัง ถนนหน้าฝนเป็นโคลน รถไปมาลำบาก ตอนกลางคืนมืด ไม่มีแสงไฟ เรื่องเกิดกับ นักศึกษาสาว คู่หนึ่งอาศัยอยู่ที่ประมาณ ชั้น 2 หรือ 3 ของหอ

    ช่วงนั้นเป็นช่วงสอบ นักศึกษาต่างกำลังอ่านหนังสือกันอยู่ นักศึกษาหญิงคนหนึ่งไม่สบาย อ่านหนังสือในห้องตอนหัวค่ำแล้ว รูมเมทชวนไปทานข้าว
    แต่เพราะเป็นไข้อยู่จึงไปไม่ไหว อยากพักผ่อน พอเมทคนนั้นเห็นเพื่อนไม่สบาย ด้วยความเป็นห่วง จึงบอกว่าเดี๋ยวไปทานข้าวเองก็ได้ แล้วจะห่อข้าวมาฝากเพื่อนคนที่ไม่สบายก็บอกว่า ยังไงฝาก ซื้อลาดหน้า (หรือซักอย่างที่เป็นเส้นๆ) มาให้ทีละกัน กินแล้วจะได้กินยาเมท คนนั้นก็บอกว่าได้ๆ เดี๋ยวจะรีบไปรีบกลับ

    หลังจากที่เพื่อนออกไปจากห้อง คนที่ไม่สบายก็นั่งอ่านหนังสือต่อ อ่านได้ซักพักก็ไม่ไหว เพราะไข้ขึ้น จึงนอนรอ ต่อมามีความรู้สึกว่านานมากแล้ว เพื่อนทำไมยังไม่กลับมาซะที
    ตกดึก ฝนเริ่มตก นักศึกษาคนนั้นก็ตื่นขึ้นมาอ่านหนังสือต่อ ในใจเป็นห่วงเพื่อนเพราะออกไปนานมากยังไม่กลับ

    ซักพักนักศึกษาคนนั้นได้ยินเสียงเบาๆ ดังจากชั้นล่าง จากทางบันได ”ป๊อก…………ป๊อก………ป๊อก………ป๊อก…….” เสียงนั้นดังเป็นระยะๆ ใกล้เข้ามา จากทางบันได ดังขึ้นเรื่อยๆ เสียงเหมือนคนกำลังแบกของหนักบางอย่างขึ้นมา

    ”ป๊อก…………ป๊อก………ป๊อก………ป๊อก…….”

    และเสียงนั้นก็ดังมาจนถึงชั้นที่ห้องนักศึกษาหญิงคนนั้นอยู่ แล้วเสียงก็เปลี่ยนไป “ครื……..ด……..ครื………..ด…….ค..รื…ด” เสียงเหมือนคนกำลังลากอะไรซักอย่างใกล้ เข้ามาเรื่อย จนมาหยุดอยู่ที่หน้าห้อง

    “ครื……..ด……..ครื………..ด…….ค..รื…ด”

    นักศึกษาหญิงเริ่มเอะใจ และมองไปทางประตู ในใจนึกว่าเพื่อนกลับมาแล้ว แต่ยังเงียบ อึดใจนึง ก็มีเสียงเคาะห้อง


    “ก๊อก ก๊อก ก๊อก”

    แล้วเงียบไป นักศึกษาสะดุ้งสุดตัว คิดว่าไม่ใช่เพื่อนแน่แล้ว ถ้างั้นทำไมไม่เปิดเข้ามาเลย จึงเดินไปเปิดประตู ตรงลูกบิดประตูมีถุงใส่ห่อลาดหน้าแขวนอยู่ พอ เห็นห่อลาดหน้า ก็งง แล้วเพื่อนอยู่ไหน ทำไมไม่กลับมา หรือติดฝนเลยฝากคนอื่นเอามาให้ แต่ทำไมต้องเอามาแขวนไม่รอเจอกันก่อน จะได้รู้ว่าเป็นใคร แล้วทำไมเดินเร็วจัง มีแต่ รอยเปียกน้ำเป็นทางจากบันได….คิดต่างๆนา แต่แล้วก็แกะห่อลาดหน้าออกทานเสร็จก็ทานยาตาม ได้ซักพักก็ม่อยหลับไป

    รุ่งเช้า…………….มีคนมาเคาะห้องบอกว่าเพื่อนตายแล้ว นักศึกษาหญิงคนนั้นถูกฆ่าข่มขืนตรงพงหญ้าข้างทาง คาดว่าเหตุเกิดประมาณหัวค่ำ ลักษณะศพ สภาพแขนและ ขาทั้งสองข้างหักอาจเกิดจากการที่คนร้ายเอาท่อนไม้ทุบตีเพื่อไม่ให้หนี

    นักศึกษาหญิงที่ตายกำลังเดินทางกลับจากตลาด (ไม่แน่ใจว่าเป็นฝายหินหรือตลาดต้นพยอม) หลังจากทานข้าวเสร็จทุกทีจะไปกับเพื่อน แต่เพื่อนไม่สบายจึงไปคนเดียว โดย เพื่อนฝากซื้อข้าวห่อคนร้ายอาจเห็นว่าเป็นคนเดียวจึงลงมือ

    แล้วลาดหน้าเมื่อคืนล่ะ? ไม่มีใครรู้คำตอบแน่ชัด แต่จากที่ฟังกันมาคือหลังจากที่ตายไปแล้ว ด้วยความเป็นห่วงเพื่อนเพราะว่าไม่สบาย และยังหิว จึงนำห่อลาดหน้าที่ซื้อมาฝาก
    แต่จะไปส่งยังไง แขนหัก ขาหักหมดแล้ว….

    ลักษณะที่เขาเล่ามาคือพื่อนคนนั้นใช้ปากคาบถุงแล้วใช้คางเกยพาตัวเองมาจนถึงหอพักแล้วใช้คางเกยบันไดลากตัวเอง ขึ้นมา เป็นเสียง “ป๊อก ป๊อก” เสียง “ครืด” ที่ได้ยินคือเสียงลากตัวเองจากบันได มาจนถึงหน้าห้องปรากฎเป็นรอยเปียกน้ำยาวติดต่อกัน

    หลังจากส่งห่อลาดหน้าให้ได้แล้วก็หมดห่วง ตอนแรกทุกคนไม่เชื่อที่นักศึกษาคนนั้นเล่าแต่หลังจากที่นักศึกษาที่พักอยู่ข้างๆ ห้องยืนยันว่าในคืนนั้นได้ยินเสียงเหมือนคนกำลังยกของหนักและลากของหนักจากข้างล่าง ขึ้นมาแล้วทุกคนต่างเชื่อสนิทใจ

    เรื่องที่ 2: เปรตหอนาฬิกา

    อันเนื่องจากเคยเป็นป่าช้าและลานประหารเก่ามาก่อน ทำให้เรื่องเล่า เรื่องผีทั้งเก่าและใหม่มีมากมาย เรื่องนี้อยู่ที่หอนาฬิกาใหญ่ ตรงสี่แยกจากประตูหลังมอตรงนั้นจะเป็นวง เวียนสี่แยก ฝั่งตะวันตกเฉียงใต้เป็นคณะวิศวะ ฝั่งตะวันออกเฉียงใต้เป็นคณะศึกษาและโรงเรียนสาธิต ฝั่งตะวันตกเฉียงเหนือเป็นหอชาย และฝั่งตะวันออกเฉียงเหนือเป็นหอหญิง

    เล่ากันว่าตรงหอนาฬิกา กลางวงเวียน มีเปรต หากไปลองของอาจโดนดีได้ วิธีการลองดีคือ ตอนเที่ยงคืนให้ไปวนรถทวนเข็มที่หอนาฬิกา สามรอบ (วงเวียนจะ เวียนรถตามเข็ม) เล่ากันว่า ผู้ที่ลองทำอย่างนั้น ไม่เคยมีใครวนรถทวนเข็มได้ครบสามรอบซักคน ผู้มีประสบการณ์เล่าว่าในขณะที่วนรถอยู่นั้น จะรู้สึกได้ถึงลมที่เย็นผิดปกติ

    แต่วนไปสองรอบก็ไม่เกิดอะไรขึ้น มาเกิดตอนที่จะครบรอบที่สามจู่ๆ ก็มีเสาสองต้นตั้งขวางถนนอยู่ ทำให้ต้องหักรถหลบ รถล้มบ้าง แฉลบบ้างไปตามๆ กันใครอยากรู้ก็ลองดู

    อีกกรณีหนึ่งมีข่าวอยู่บ่อยๆ ว่านักศึกษาที่พักอยู่ในหอพักชายและหญิงฝั่งที่ติดกับหอนาฬิกา มักได้ยินเสียงแหลมๆ เล็ก ดังมาจากทางหอนาฬิกา สอบถามแล้วคืนนั้น เด็กสาธิต ไม่มีการทำกิจกรรมและคณะวิศวะไม่มีกิจกรรม หรือการก่อสร้างใดๆ และที่สำคัญ บางห้องได้ยินบางห้องไม่ได้ยินทั้งที่อยู่ติดกัน? เป็นเพียงเรื่องเล่า

    เรื่องที่ 3: ห้องสีชมพู

    เรื่องนี้เกิดที่หอหญิง เป็นเรื่องของนักศึกษาหญิงที่เข้ามาพักในหอในแล้วได้เสียกับผู้ชาย เกิดพลาดตั้งครรภ์ขึ้นมา รู้ตัวเอาตอนท้องได้ 4 เดือนแล้วแต่มันยังไม่ป่องออกมา จึงปิดเงียบไม่ให้ใครรู้แม้แต่เมท

    ทำยังไงถึงจะเอาออกได้ พลาดไปแล้วแต่ไม่อยากเสียอนาคต ไม่มีเงินทำแท้ง แฟนไม่รับผิดชอบ ตัดสินใจเอาออกเองในห้องพักโดยเลือกตอนช่วงที่เพื่อนไม่อยู่ ทำเองคนเดียว โดยไม่ทราบวิธีการ ปรากฎว่าผลร้ายกว่าที่คิดนักศึกษาคนนั้นตกเลือดตายในห้องเพื่อนมาพบศพตอนเย็น เห็นรอยเลือดกระจัดกระจาย ติดฝาผนังบ้างก็มี

    หลังจากจัดการเรื่องศพเรียบร้อยแล้ว (รวมถึงทำความสะอาดห้อง)

    เมทของคนตายก็ย้ายไปอยู่ที่อื่น แม่บ้านเข้ามาทำความสะอาดเห็นรอยเลือดสีจางๆ ติดอยู่ที่ผนังสีขาวก็เลยให้คนเอาสีขาวมาทาทับ วันรุ่งขึ้นเปิดเข้าไปทำความสะอาดรอย เลือดยังมีอยู่เหมือนเดิม ไม่ว่าจะทำยังไงทั้งขัด ทั้งถู หรือทาสีใหม่ รอยเลือดนี้ก็ยังไม่หายไป

    จนสุดท้ายทางหอพักจึงต้องนำสีชมพูไปทาทั้งห้องเพื่อไม่ให้เห็นรอยเลือด กลายเป็นห้องสีชมพูตั้งแต่นั้นมา

    ปัจจุบันเป็นห้องเก็บของที่ปิดตาย เคยมีแม่บ้านเข้าไปทำความสะอาดที่ห้องนี้ แล้วออกจากห้องไม่ได้ เพราะลูกบิดถูกล๊อค (ทั้งที่ตัวล๊อคอยู่ในห้อง) ลองไปเยี่ยมชมดูได้ครับ

    หนึ่งความพลาดพลั้งที่ไม่มีอะไรแก้ไขได้

    เรื่องที่ 4: ห้องน้ำคณะสังคม

    ที่ห้องน้ำคณะสังคมศาสตร์ ที่เก่าๆ หน่อยลองไปหาดูเอาเอง ลักษณะห้องน้ำคือประตูอยู่ตรงกลาง เข้าไปแล้วโถฉี่จะอยู่ทางซ้ายมือ ส่วนอ่างล้างหน้ากับกระจกส่องหน้า จะอยู่ทางขวา

    รุ่นพี่ที่อยู่คณะสังคมเคยเล่าว่าเคยมีคนเล่าให้ฟังว่า(ฟังเขามาอีกต่อหนึ่ง) ตอนกลางคืนช่วงใกล้สอบไปอ่านหนังสือที่คณะสังคม แล้วปวดฉี่เลยไปฉี่ที่ห้องน้ำนี้ ลุกไปเข้าห้องน้ำคนเดียว คนอื่นๆ ก็นั่งอ่านหน้งสืออยู่ คนไปฉี่ก็เข้าไปฉี่ธรรมดา

    ห้องน้ำมีโถฉี่สองอัน อันแรกติดประตูอันที่สองอยู่ด้านขวา ข้างในไปอีก เขาบอกว่าตอนจะฉี่ ก็จะฉี่ที่โถแรกเพราะใกล้กว่า แต่ไม่รู้นึกยังไงเลยเดินเลยไปฉี่ที่โถข้างใน ตอนฉี่ก็ ยังไม่มีอะไรแต่ตอนฉี่เสร็จแล้วมองออกไปที่กระจก ภาพในกระจกสะท้อนเห็นกำลังมีคนยืนฉี่อยู่ที่โถฉี่อันแรก! (หันหลังให้) นึกว่าตาฝาดเพราะหันไปดูก็ไม่มีอะไร

    แต่พอไปดูในกระจก ก็เห็นเหมือนเดิม? คืนนั้นเลยไม่ได้อ่านหนังสือกันพอดี พวกขี้เหล้าทั้งหลายที่ชอบไปกินแถวนั้นก็ระวังหน่อยละกัน

    เรื่องที่ 5: ถนนขึ้นดอยสุเทพ

    สมัยนั้นเวลากลางคืนดอยสุเทพยังไม่ปิดความนิยม(ที่ไม่ค่อยดีเท่าไร) อย่างหนึ่งก็คือเวลาเมาๆ นักศึกษาทั้งหลายมักจะขับรถขึ้นดอยกันขึ้นไปดูเชียงใหม่ทั้งเมือง ตอนกลางคืนมันสวยดี (แต่ดันขับรถตอนเมา ไม่ควรเอาเป็นเยี่ยงอย่าง)

    วันหนึ่ง นักศึกษาจากคณะวิศวะสองคนเพิ่งเลิกจากกังสดาล(แต่ก่อนร้านนี้ฮิตครับ) ครึ้มๆ ขึ้นมาก็เลยขับรถเลยจากทางเข้า กะขึ้นดอยไปชมเมืองเล่น คนขับก็ขับไปข้างหลังคน ซ้อนก็นั่งไป เมาๆ ขึ้นมาคนซ้อนก็เลยหลับ(สมัยก่อนแปดสิบเปอร์เซ็นต์นักศึกษาขับแมงกะไซค์ไม่ใช่รถยนต์อย่างทุกวันนี้)

    ซักพักหนึ่งคนซ้อนก็ตื่น กำลังเข้าโค้งพอดี เห็นหญิงสาวคนหนึ่งยืนโบกรถอยู่ข้างทาง แต่คนขับก็ขับเลยผ่านไป ด้วยความเป็นสุภาพบุรุษจัด ก็เลยถามคนขับว่า “ทำไม mungไม่ จอดรถลงไปถามหน่อยล่ะ เผื่อเขามีปัญหาอะไร?”

    คนขับ “gu ไม่จอดด้วยหรอก คนนี้เขารอโบกทุกโค้งเลย เจอมาหลายโค้งแล้ว เดี๋ยวโค้งหน้า mung กะ gu ก็เจอเขาอีกแหละ...”

    เรื่องที่ 6: วงเวียนธรณี

    วงเวียนธรณี - ต้องขอโทษคนที่ผ่านทางนี้เป็นประจำ(ผมด้วย) จุดนี้มีเรื่องเยอะจริงๆ นานมาแล้วมีนักศึกษาสองคนกินเหล้าเมากันมา พอมาถึงข้างตึกธรณีคนขี่มองไปทาง ข้างตึกอังกฤษ

    เห็นคนหัวขาดยืนอยู่ ตกใจจึงหยุดรถขยี้ตาดูอีกทีแล้วสะกิดถามเพื่อนๆ บอกไม่เห็นอะไร มองอีกทีก็ไม่มีแล้ว หันกลับมาข้างหน้ามีลวดเส้นเล็กๆขึงอยู่ระดับคอห่างออกไปเมตร เดียว ถ้าไม่หยุดรถคง!.....

    เรื่องที่ 7: ก๊อกน้ำนิติเวช

    อาคารเรียนรวมแพทย์ มีคนไปอ่านหนังสือกันสองคน พอดึกๆ ก็ไปซื้อไก่ทอดมากินเสร็จแล้วก็หาที่ล้างมือเจอก๊อกน้ำข้างตึก ก็ไปล้างมือที่นั่น ตอนที่ล้างอยู่เพื่อนอีกคนก็ทำหน้าตกใจมากแต่ยังไม่พูดอะไร

    คนที่ทำหน้าตกใจรีบจูงมือเพื่อนกลับมาใต้ตึก แล้วถามว่ารู้มั้ยเมื่อกี้เห็นอะไร อีกคนบอกไม่รู้ คนนั้นจึงบอกว่าเห็นผมของอีกคนซึ่งผมยาวชี้ขึ้นมากระจุกหนึ่งเหมือนมีคนจับขึ้น มา รู้ทีหลังว่าตรงนั้นเป็นที่ล้างศพ!

    เรื่องที่ 8: ห้องแลปฟิสิกส์

    แลปฟิสิกส์ – อันนี้ฟังเค้าเล่ามาอีกทีเป็นเรื่องนานมาแล้ว เรื่องมีว่าเมื่อก่อนตอนที่ตึกเก้าชั้นวิดยายังไม่ได้สร้างแลปฟิสิกส์ของเด็กปี 1 ก็ยังทำที่แลปเก่า (น่าจะ เป็นตึกฟิสิกส์) แลปคราวนั้นเป็นแลปเรื่องแสง

    คนที่เคยเรียนคงรู้ว่าห้องจะมืดเพราะปิดไฟและเป็นแลปมืดจริงๆ เพราะทำช่วงค่ำ นักศึกษาหญิงคนนึงก็เข้าห้องแลปแต่พาร์ทเนอร์แลปยังไม่มา คนอื่นๆ ก็มากันแล้ว เตรียมอุปกรณ์เสร็จเพื่อนก็มา แต่ก้มหน้าก้มตา ไม่พูดไม่จา ถามว่าเป็นอะไรก็ไม่ตอบ
    เหลือบเห็นที่คอมีรอยแผลเป็นทางยาว เธอจับไหล่เพื่อนถามว่าไปโดนอะไรมาเพื่อนเงยหน้าขึ้นมาแล้วหัวหลุดกลิ้งไปกับพื้น ผู้หญิงร้อง กรี้ดแล้ววิ่งออกมาสลบตรงระเบียง

    ฟื้นมามียามกับรุ่นพี่สองสามคน ถามว่าไม่รู้เหรอว่าวันนี้แลปงด เพราะเมื่อเช้ามีนักศึกษาในเซค รถคว่ำตาย เพื่อนเลยไปงานศพช่วงค่ำกันหมด สอบถามชื่อได้ความว่าคือพาร์ท เนอร์แลปของเธอนั่นเอง! ส่วนคนที่เจอในห้องแลปทุกคนล้วนแต่ไร้ชีวิต

    เรื่องที่ 9: ทางเดินคณะวิศวะ

    ทางเดินคณะวิดวะ มีคนสี่คนเข้าไปเล่นผีถ้วยแก้วตรงทางเดินยาวตรงข้ามหอ 5 ชาย วันนั้นฝนตกด้วย มีผีผู้ชายเข้ามา พอถามว่าชื่ออะไร ไม่ตอบถามว่ามาคนเดียวใช่รึไม่ใช่

    ก็ตอบว่าไม่ใช่จึงถามต่อว่ามากันเท่าไหร่ เค้าก็ตอบว่าเก้า (ไปเลข 9)

    คนเล่นรู้สึกกลัวขึ้นมาจึงเชิญออก แล้วรีบกลับมาที่หอ มีเพื่อนถามว่าไปไหนกันมา ก็บอกว่าไปเล่นผีถ้วยแก้วในคณะวิดวะเพื่อนก็ว่า อ๋อที่ยืนมุงเยอะๆ ตรงทางเดินน่ะนะ

    เรื่องที่ 10: หอผู้ป่วย ห้องพิเศษ

    เรื่องนี้เกิดขึ้นในหอผู้ป่วยใน ห้องพิเศษ มีนักศึกษาชายมาเยี่ยมญาติผู้ใหญ่ซึ่งรักษาอยู่ในโรงพยาบาล คณะแพทย์ คุยกันจนเพลิน นึกขึ้นได้ว่าดึกมากแล้ว จึงขอลากลับ

    เวลา 4 ทุ่มของวอร์ดนี้ โดยเฉพาะแผนกห้องพิเศษ ช่างเงียบสงัดนัก นศ. คิด เขาไม่เคยเจอบรรยากาศแบบนี้มาก่อน…

    เขาเดินผ่านห้องผู้ป่วยอื่นมาเรื่อยๆ เพื่อเดินไปขึ้นลิฟท์ซึ่งอยู่ที่สุดทางเดินอันยาวนี้ พยาบาลที่เคาท์เตอร์ก็ไม่อยู่ เนื่องจากต้องไปดูแลผู้ป่วยห้องต่างๆ…. เขาไม่เห็นใครคนอื่นเลย

    เขาเดินไปได้กลางทาง ก็มีผู้ชายคนหนึ่ง ใส่ชุดสีกากี ดูเหมือนเจ้าหน้าที่ส่งเอกสารทั่วๆ ไป เดินเข้ามาในวอร์ดผ่านประตูซึ่งเปิดอยู่…. พยาบาลคงเรียกเขามาเอา specimen ไปส่งห้อง LAB กระมัง…. นศ. คิดในใจ

    ทันใดนั้นเอง นศ. ขนลุกซู่ โดยไม่รู้ตัว ชายคนดังกล่าวที่กำลังเดินใกล้เข้ามานั้น ไหล่และมือของเขานิ่งมาก ไม่มีการขยับหรือแกว่ง ตามจังหวะการเดินเลย…. เหมือนว่าเขาไม่ได้เดินมา….!! เขาเหมือนลอย… เข้ามา มากกว่า

    ในใจของ นศ. รู้สึกถึงความกลัวที่สุดในชีวิต แต่เขาก็ยังเดินต่อไปข้างหน้า ขณะที่ชายเสื้อสีกากีดังกล่าวก็…ใกล้เข้ามา ใกล้เข้ามาเรื่อยๆ

    จังหวะที่ทั้งสองสวนผ่านกันนั้น (ห่างกันไม่ถึง 2 เมตร) นศ. สังเกตเห็นว่าชายคนนั้นลอยอยู่จริงๆ …!! ปลายนิ้วเท้าสองข้างของเขา ชี้ลงไปที่พื้น หน้าก้มต่ำ ผมเขายาวเล็กน้อยปิดบังหน้าตาไว้ นศ. ถึงกับขนลุกเกรียวทั้งตัวและสัมผัสได้ถึงความเย็น

    หลังจากเดินผ่านชายเสื้อกากีมาแล้ว นศ. ก็หันกลับไปมองชายคนนั้น ซึ่งเขาเองก็เหมือนจะรู้ตัว…. ชายคนดังกล่าวหยุดอยู่นิ่ง แล้วค่อยๆ หันหน้าซึ่งมีผมเผ้ารุงรัง ผิวสีเทาๆ มายัง นศ. แล้ว ยิ้ม แหยะๆ ให้

    ไม่ต้องคิดอะไรอีกแล้ว…. นศ. รีบกึ่งเดินกึ่งวิ่งออกมาจากวอร์ด แล้วไม่หันหลังกลับไปดูอีกเลย

    ไคที่อยากเข้าม.เชียงใหม่ก็ระวังไว้บ้างนะ
    ●sHøNëN●
    ●sHøNëN●
    .....
    .....


    Posts : 3026
    Joined : 05/02/2009
    Location : มังงะ~
    Karma : 2

    ชมรม ขนหัวลุก!!! Empty Re: ชมรม ขนหัวลุก!!!

    ตั้งหัวข้อ  ●sHøNëN● Sun Jan 17, 2010 2:41 pm

    ป๊อก ป๊อก ครืด~

    บรื๋อ~~
    wanted
    wanted
    .....
    .....


    Posts : 580
    Joined : 05/06/2009
    Location : ที่ๆคนหน้าตาดีอยู่
    Karma : 0

    ชมรม ขนหัวลุก!!! Empty Re: ชมรม ขนหัวลุก!!!

    ตั้งหัวข้อ  wanted Sun Jan 17, 2010 2:43 pm

    เย้ ในที่สุดก็มีคนมาตอบ cheers
    Indielด็กlluว
    Indielด็กlluว
    .....
    .....


    Posts : 1856
    Joined : 14/02/2009
    Location : Top Of The World
    Karma : 1

    ชมรม ขนหัวลุก!!! Empty Re: ชมรม ขนหัวลุก!!!

    ตั้งหัวข้อ  Indielด็กlluว Sun Jan 17, 2010 2:55 pm

    เอาเรื่อง ก.ป.ก จู่โจมม่ะ 555
    wanted
    wanted
    .....
    .....


    Posts : 580
    Joined : 05/06/2009
    Location : ที่ๆคนหน้าตาดีอยู่
    Karma : 0

    ชมรม ขนหัวลุก!!! Empty Re: ชมรม ขนหัวลุก!!!

    ตั้งหัวข้อ  wanted Sun Jan 17, 2010 2:58 pm

    ก็ดีถือว่า เปงเรื่องขนหัวลุก
    ●sHøNëN●
    ●sHøNëN●
    .....
    .....


    Posts : 3026
    Joined : 05/02/2009
    Location : มังงะ~
    Karma : 2

    ชมรม ขนหัวลุก!!! Empty Re: ชมรม ขนหัวลุก!!!

    ตั้งหัวข้อ  ●sHøNëN● Sun Jan 17, 2010 3:10 pm

    เหอ~

    อนาถแต๊~
    wanted
    wanted
    .....
    .....


    Posts : 580
    Joined : 05/06/2009
    Location : ที่ๆคนหน้าตาดีอยู่
    Karma : 0

    ชมรม ขนหัวลุก!!! Empty Re: ชมรม ขนหัวลุก!!!

    ตั้งหัวข้อ  wanted Sun Jan 17, 2010 3:11 pm

    น่าจะชินแล้วนะ จิงมะ
    ●sHøNëN●
    ●sHøNëN●
    .....
    .....


    Posts : 3026
    Joined : 05/02/2009
    Location : มังงะ~
    Karma : 2

    ชมรม ขนหัวลุก!!! Empty Re: ชมรม ขนหัวลุก!!!

    ตั้งหัวข้อ  ●sHøNëN● Sun Jan 17, 2010 3:24 pm

    ชิน!

    ชิน?!?

    ศิษย์แฝดชินเรอะ!!
    wanted
    wanted
    .....
    .....


    Posts : 580
    Joined : 05/06/2009
    Location : ที่ๆคนหน้าตาดีอยู่
    Karma : 0

    ชมรม ขนหัวลุก!!! Empty Re: ชมรม ขนหัวลุก!!!

    ตั้งหัวข้อ  wanted Sun Jan 17, 2010 3:26 pm

    หมายถึงแฝดทวดต่างหาก!!

    อยุมาหลายปีแล้วนิ
    ●sHøNëN●
    ●sHøNëN●
    .....
    .....


    Posts : 3026
    Joined : 05/02/2009
    Location : มังงะ~
    Karma : 2

    ชมรม ขนหัวลุก!!! Empty Re: ชมรม ขนหัวลุก!!!

    ตั้งหัวข้อ  ●sHøNëN● Sun Jan 17, 2010 3:47 pm

    แหมะ~

    ตกใจหมด~
    wanted
    wanted
    .....
    .....


    Posts : 580
    Joined : 05/06/2009
    Location : ที่ๆคนหน้าตาดีอยู่
    Karma : 0

    ชมรม ขนหัวลุก!!! Empty Re: ชมรม ขนหัวลุก!!!

    ตั้งหัวข้อ  wanted Sun Jan 17, 2010 3:49 pm

    กรุณาอย่าทำให้กลายพันธุ์
    ●sHøNëN●
    ●sHøNëN●
    .....
    .....


    Posts : 3026
    Joined : 05/02/2009
    Location : มังงะ~
    Karma : 2

    ชมรม ขนหัวลุก!!! Empty Re: ชมรม ขนหัวลุก!!!

    ตั้งหัวข้อ  ●sHøNëN● Sun Jan 17, 2010 3:56 pm

    เอ็งนั่นแหล๊ะ!!!
    wanted
    wanted
    .....
    .....


    Posts : 580
    Joined : 05/06/2009
    Location : ที่ๆคนหน้าตาดีอยู่
    Karma : 0

    ชมรม ขนหัวลุก!!! Empty Re: ชมรม ขนหัวลุก!!!

    ตั้งหัวข้อ  wanted Sun Jan 17, 2010 3:57 pm

    ตูป่าวน้าเฟร้ย

    (ตูกะเอ็งนี้มันยังไงอยุน้า)
    wanted
    wanted
    .....
    .....


    Posts : 580
    Joined : 05/06/2009
    Location : ที่ๆคนหน้าตาดีอยู่
    Karma : 0

    ชมรม ขนหัวลุก!!! Empty Re: ชมรม ขนหัวลุก!!!

    ตั้งหัวข้อ  wanted Sun Jan 17, 2010 4:04 pm

    เอาไปอีกเรื่อง "เคยจุดเทียนหน้ากระจกแล้วผิวปากหรือเปล่า"


    เรื่องราวประหลาด ๆ เกิดขึ้นที่นี่เสมอ ๆ
    > และทุกคนที่จุดเทียนหน้ากระจก
    > > > > พร้อมกับผิวปาก
    > > > >
    > > > > > มักจะได้เจอกับเรื่องราวที่ผมอยากจะบอกว่า . . .
    > > >
    > > > > > ผมชื่อชัยยศ อัครศักดิ์ แต่จะเรียกผมสั้นๆว่า
    > > > >
    > > > > > “ยศ” ก็ไม่ผิดอะไร ผมมีเรื่องราวแปลกประหลาดที่สุดในชีวิต
    > > > >
    > > > > > มาเล่าให้ทุกคนได้ฟังกัน มันเป็นเรื่องราวเกี่ยวกับจิตวิญญาณ
    > > > >
    > > > > > และสิ่งที่ผมไม่สามารถพิสูจน์ได้ ด้วยหลักการทางวิทยาศสาสตร์
    > > > > และผมอยากจะเตือนผู้อ่าน
    > > > >
    > > > > > ที่จิตใจยังไม่เข้มแข็งพอ ให้อ่านอย่าง ระมัดระวัง
    > > > > และใช้วิจารณญาณในการอ่าน และจะให้ดี
    > > > >
    > > > > > ควรมีผู้ปกครองคอยดูแลเป็นระยะ
    > > > >
    > > > > >
    > > > >
    > > > > > เหตุการณ์นี้ เกิดขึ้นเมื่อปลายปีที่ผ่านมา
    > > > >
    > > > > > ราวๆ เดือน เมษายน ผม แฟนสาว (อ้อย) กับเพื่อนอีกกลุ่มหนึ่ง
    > > > > ซึ่งประกอบไปด้วย “บอย”
    > > > >
    > > > > > พนักงานบัญชีที่บริษัท “น้องบัว” เพื่อนสมัยเรียนมัธยมของอ้อย
    “น้าศา”
    > > > > น้าสาวของอ้อย และ
    > > > >
    > > > > > “ไอ้ทอม” น้องชายของผมเอง
    > > > >
    > > > > >
    > > > >
    > > > > > พวกเราได้นัดหมายกันไปเที่ยว
    ชายทะเลแห่งหนึ่งในจังหวัดประจวบคีรีขันธ์
    > > > >
    > > > > > เราตัดสินใจเดินทางไปเกาะที่ห่างไกลผู้คน
    > > > > มันไกลมากไกลจนเกือบจะมีพวกเราเท่านั้นที่ถูกเรียกว่า “คน”
    > > > >
    > > > > > เพราะนอกจากพวกเราแล้ว ก็มีเพียง “ป้าเจิด” หญิงชรา ท่าทางน่ากลัว
    > > > > ผู้ที่เป็นเจ้าของโรงแรม
    > > > >
    > > > > > ที่มีเพียงแห่งเดียวบนเกาะนี้ ซึ่งกว่าที่เราจะมาถึงที่นี่ได้
    > > > > มันก็มืดค่ำมากแล้ว
    > > > >
    > > > > > แต่มันก็คุ้มกับ บรรยากาศที่สุดแสนจะธรรมชาติ (ผมนึกในใจ)
    > > > >
    > > > > > อีกคนเป็นบริกรหนุ่มฉกรรจ์ นามว่า “ปาเด”
    > > > > หนุ่มฉกรรจ์ผู้ที่มีรอยสักอย่างโดดเด่นอยู่ที่แขนข้างขวา
    > > > >
    > > > > > นี่ถ้าผมมาเที่ยวญี่ปุ่น ผมคงเข้าใจว่า ปาเด ต้องเป็น ยากูซา
    > อย่างแน่นอน
    > > > > แต่ผมไม่แน่ใจนักว่า
    > > > >
    > > > > > รอยสักที่ปรากฏบนแขนของปาเดนั้นเป็นรูปอะไร เพราะที่นี่มืดมาก
    > ไม่มีไฟฟ้า
    > > >
    > > > >
    > > > > > ต้องใช้คบเพลิงและอาศัยแสงจากเปลวเทียนเท่านั้นแต่มันคงไม่ใช่รูป
    > > > > “ชินจังช้างน้อย” หรอก
    > > > >
    > > > > > เพราะมันช่างไม่เข้ากับหน้าตา อันโหดอุ๋ย หยาบคาย
    > และแลดูดุดันของเขาเลย
    > > > > เห็น ปาเด
    > > > >
    > > > > > บอกกับใครสักคนในกลุ่มพวกเราว่า
    > > > > มันเป็นรอยสักที่เป็นเครื่องรางติดตัวของเขา
    > > > >
    > > > > >
    > > > >
    > > > > > คืนแรกที่พักผ่อนอยู่ที่นี่ ทุกอย่างผ่านไปด้วยดี ที่นี่สงบเงียบ
    > > > > เป็นธรรมชาติ
    > > > >
    > > > > > แต่บางครั้งผมก็รู้สึก ว่า มันเงียบมาก เงียบจนผิดสังเกตุ
    > > > >
    > > > > > มันเหมือนมีใครสักคนคอยจับตาดูเราอยู่ (ผมอาจจะคิดไปเอง
    > > > > แต่ผมก็มาทราบภายหลังว่า เพื่อนๆ
    > > > >
    > > > > > ก็รู้สึกเช่นเดียวกันกับผม แต่ไม่มีใครกล้าปริปาก)
    > > > >
    > > > > > รุ่งเช้าพวกเราออกเล่นน้ำทะเล และเดินเล่นรอบๆเกาะ
    > > > แต่ดูเหมือนดินฟ้าอากาศ
    > > > > จะไม่เป็นใจนัก
    > > > >
    > > > > > ท้องฟ้ามืดลงอย่างรวดเร็ว ทั้งๆที่มันเพิ่งจะเป็นเวลาบ่ายโมงกว่าๆ
    > > > เท่านั้น
    > > > >
    > > > >
    > > > > > พายุโหมกระหน่ำพัดเข้าหาชายฝั่งอย่างบ้าคลั่ง
    > > > >
    > > > > >
    > > > >
    > > > > > เรากำลังจะกลับแต่เราก็ต้องพบกับเรื่องที่น่าสงสัยเป็นอย่างยิ่ง
    > > > >
    > > > > > พวกเราได้พบกับ หญิงวัยกลางคน
    > > > > เดินอยู่ที่ชายหาดท่ามกลางพายุฝนที่ตกกระหน่ำอย่างรุนแรง
    > > > >
    > > > > > ทำไมมีผู้หญิงมาเดินอยู่ที่นี่เธอแต่งตัวดูไม่เหมือนกับคนที่นี่
    > > > > หน้าตาเธอดูใจดี
    > > > >
    > > > > >
    > > > >
    > > >
    > และมีชาติตระกูลแต่เธอดูเศร้ามากแล้วทำไมเธอต้องมาเดินอยู่ท่ามกลางพายุฝนเช่น
    > > > > นี้ ? ? ?
    > > > >
    > > > > > ท้องฟ้ามืดลงทุกทีมืดจนเราไม่สามารถที่จะมองเห็นเธอได้อีกต่อไป
    > > > >
    > > > > >
    > > > >
    > > > > > ก็ไหนป้าเจิด กับ ปาเด บอกว่าบนเกาะนี้นอกจากพวกเขา และพวกเราแล้ว
    > > > >
    > > > > >
    ก็ไม่มีใครอาศัยอยู่บนเกาะแห่งนี้ไงแล้วผู้หญิงที่เราเห็นเมื่อสักครู่
    > > > > เธอเป็นใคร ? ? ?
    > > > >
    > > > > > พวกเราเริ่มสงสัย
    กะกันเอาไว้ว่าเดี๋ยวพอกลับถึงโรงแรมจะต้องถามป้าเจิด
    > > > >
    > > > > > กับปาเด ให้ได้ความ
    > > > >
    > > > > >
    > > > >
    > > > > >
    > > >
    เรากลับมาถึงโรงแรมอย่างทุลักทุเลเต็มทนพวกเราแยกย้ายกันไปเปลี่ยนเสื้อผ้า
    > > > > อาบน้ำอาบท่า
    > > > >
    > > > > > นัดกันว่า อีก 1 ชั่วโมงเราจะออกมาเจอกันอีกครั้งที่ห้องโถง
    > > > >
    > > > > > พอได้เวลาผมกับแฟน ก็ออกมาที่ห้องโถงตามนัดหมาย“มีใครเห็นป้าเจิด กับ
    > > > ปาเด
    > > > > บ้างรึเปล่า”
    > > > >
    > > > > > ผมรีบถาม เพราะอยากจะถามถึงผู้หญิงที่เจอที่ชายหาด
    > > > >
    > > > > >
    > > > >
    > > > > > “ไม่เห็นมีใครเลย ผมเดินดูหลายรอบแล้ว” บอย บอกกับพวกเราอย่างนั้น
    > > > >
    > > > > > > “ใช่ครับ ผมก็ไม่เห็น ปาเด อยู่ข้างนอกเหมือนเคย”
    > ทอมพูดเสริมขึ้นมา
    > > > >
    > > > > > สิ้นเสียงพูดคุยของพวกเรา ไฟก็ดับลง
    > > > >
    > > > > > พวกเราตะโกนด้วยความหวาดกลัว ประตูไม้บานใหญ่ ค่อยๆ เปิดขึ้น
    > > > >
    > > > > > แอ๊ะ แอ๊ะ แอ๊ด ด ด ด ด ด ด เสียงประตู
    > > > > ที่เราไม่ค่อยจะคุ้นหูนักในเมืองหลวง ดังขึ้น
    > > > >
    > > > > >
    > > > >
    > > > > > ร่างของหญิงผมยาว โผล่ขึ้นต่อหน้าพวกเรา เธอค่อยๆ เดินก้าวเข้ามา
    > > > ทีละน้อย
    > > > >
    > > > > > พายุยังโหมกระหน่ำอยู่อย่างต่อเนื่อง แสงจากสายฟ้า
    > > > >
    > > > > > สว่างและมืด เป็นจังหวะ เงาของหญิงที่กำลังเดินเข้ามา
    > > > >
    > > > > > ช่างดูน่ากลัวเสียนี่กระไร เธอเดินมาหยุดอยู่ต่อหน้าพวกเรา
    > > > >
    > > > > > เปลวเทียนสว่างขึ้นอีกครั้งและเราก็ได้เห็นเธออย่างเต็มตา
    > > > >
    > > > > >
    > > > >
    > > > > > ป้าเจิด ! ! ! พวกเราเรียกพร้อมกัน เรารู้สึกสบายใจขึ้นอย่างมาก
    > > > > เมื่อได้เห็นป้าเจิด
    > > > >
    > > > > > และเพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลา ผมรีบถามป้าเจิด
    > > > > ถึงผู้หญิงที่ได้พบที่ชายหาดเมื่อบ่าย
    > > > >
    > > > > > ป้าเจิด หน้าตาตกใจทันทีที่ได้ยินคำถาม
    > > > > ดูเหมือนเธอจะไม่อยากที่จะให้คำตอบนี้กับพวกเรานัก
    > > > >
    > > > > > “อย่าไปสนใจมันเลยพ่อหนุ่ม เรื่องมันนานมาแล้ว เชื่อป้าสิ”
    > > > > ดูเธอหวาดกลัวที่จะค้องตอบคำถามนี้เหลือเกิน
    > > > >
    > > > > > “นะครับ ป้าครับ ผมอยากรู้จริงๆ ก็ไหนป้า บอกว่าที่นี่
    ไม่มีคนอื่นไง”
    > > > >
    > > > > > “ก็ใครบอกล่ะ ว่าผู้หญิงที่เธอเห็นเป็นคน
    > > > > ว่าแต่พวกเธอยังอยากฟังเรื่องต่อไปอีกไหมล่ะ”
    > > > >
    > > > > > > “เอาสิครับ ไหนๆ ก็ไหนๆ แล้ว ผมอยากรู้ว่าเธอเป็นใคร”
    > > > >
    > > > > > จากวันนั้นจนถึงวันนี้ มันก็ครบรอบ สามสิบปี พอดิบพอดี
    > > > > นี่ถ้าพวกคุณไม่ถามถึง
    > > > >
    > > > > > ป้าก็คงลืมมันไปแล้วเหมือนกัน มันนานมาก ป้าอยากลืม
    > และไม่อยากนึกถึงมัน
    > > > >
    > > > > > อีก แต่ในเมื่อมันเป็นเช่นนี้
    ป้าก็จะเล่าเรื่องทุกอย่างให้พวกเราฟัง
    > > > >
    > > > > > ในค่ำคืนใดก็ตาม ณ โรงแรมแห่งนี้ หากใครได้จุดเทียนอยู่ที่หน้ากระจก
    > > > > และผิวปากไปพร้อมๆ กัน
    > > > >
    > > > > > แล้วล่ะก็ .
    > > > > > ป้าเจิดเงียบไป ดูเหมือนเธอกำลังคิดอะไรบางอย่าง
    > > > > แววตาเธอดูช่างน่ากลัวเสียนี่กระไร
    > > > >
    > > > > > “จุดเทียน ผิวปาก แล้วมันจะเป็นอะไรครับป้า” ทอมทนอดใจไม่ไหว
    > > > จึงเอ่ยปากถาม
    > > > >
    > > > > > ป้าเจิดหันมายิ้มพร้อมกับคำตอบ “เทียนก็จะดับสิว่ะ”
    > > > >
    > > > > > ผมสะกิดป้าเจิดเบาๆ ด้วยปลายเท้า โทษฐานเป็น หญิงชรา
    > > > > ที่มีมุขเยอะที่สุดในปฐพี ฝ่ายป้าเจิดก็รับมุข
    > > > >
    > > > > > ด้วยการกระเด็นไปติดข้างฝาอีกด้านของห้อง อย่างได้อารมณ์ “เอาล่ะ ๆ
    > > > > เมื่อกี้ป้าล้อเล่น
    > > > >
    > > > > > และจากนี้ไปเป็นเรื่องที่ป้าจะเล่าเรื่องจริง ให้พวกเราได้ฟังเสียที”
    > > > > ทุกคนเริ่มตั้งใจฟังอีกครั้ง
    > > > > > คืนนั้นเป็นคืนเดือนมืด พายุเข้า
    > > > > และฝนก็โหมกระหน่ำเหมือนในค่ำคืนนี้ไม่มีผิด
    > > > > > ชายหญิงคู่หนึ่งเดินทางมาที่นี่ ทั้งคู่เพิ่งแต่งงานกัน
    > > > > รู้สึกว่าจะยังไม่ถึงสองเดือนดีนัก
    > > > >
    > > > > > ทั้งคู่มาพักอยู่ที่นี่ 5 คืน และคืนที่เกิดเหตุการณ์อันน่าสยดสยอง
    > > > >
    > > > > > ก็ได้เกิดขึ้นในคืนวันสุดท้ายของทั้งสองที่จะพักอยู่บนเกาะแห่งนี้
    > > > >
    > > > > > พวกเขาไม่ได้มาเที่ยว
    > > > > แต่มาเพื่อหาสิ่งของบางอย่างที่ไม่มีใครรู้ได้ว่ามันคืออะไร
    > > > >
    > > > > > (ตราบจนทุกวันนี้) คืนสุดท้าย ฝ่ายชายหนุ่ม
    > > > > ก็ออกไปข้างนอกเพื่อหาของบางอย่างเหมือนเช่นเคย
    > > > >
    > > > > > เขารู้ดีว่า เขาอาจจะไม่มีโอกาส ได้กลับมาที่นี่อีก
    > > > > หากเขาไม่สามารถหามันพบเขาเดินหาอยู่นาน
    > > > > > ฝนยังตกหนักเช่นเดิม . . .
    > > > > > เวลาผ่านไปจนถึงรุ่งเช้าของอีกวัน ชายหนุ่มก็ไม่ได้กลับมาที่โรงแรม
    > > > > > ฝ่ายหญิงสาวก็ไม่คิดที่จะกลับบ้านหากไม่ได้พบกับสามีของเธออีกครั้ง
    > > > > > เธอเฝ้ารอสามีอันเป็นที่รักอยู่ที่นี่ รอนานมาก
    > > > > รอจนถึงวันที่พายุโหมกระหน่ำมาอีกครั้ง มันเป็นวันครบรอบ
    > > > > > 1 ปีของการจากไปของสามี เธอตัดสินใจออกมาตามหาเขา
    > > > > เหมือนที่เขาได้ออกตามหาบางสิ่งบางอย่าง
    > > > > > เวลาผ่านไปจนถึงรุ่งเช้าของอีกวัน
    > หญิงสาวก็ไม่ได้กลับมาที่โรงแรมอีกเลย
    > > > > > และทุกวันที่มีพายุฝนกระหน่ำ ใครสักคนบนเกาะแห่งนี้
    > > > > > ก็จะได้เห็น หญิงสาวหน้าตาดี ออกเดินตามหาอะไรบางอย่าง
    ท่ามกลางพายุฝน
    > > > > และมันก็เป็นอย่างนี้ตลอดมา
    > > > > > แต่ก่อนที่เธอจะออกไปตามหาสามี
    เธอได้เขียนจดหมายเลือดเอาไว้หนึ่งฉบับ
    > > > > เธอคงรู้ดีว่า
    > > > > > เธออาจจะไม่ได้กลับมาที่โรงแรมนี้อีก เธอใช้มีดกรีดที่ข้อมือ
    > > > > > เลือดสีแดงสดไหลยาวเป็นทาง
    > > > > เธอเอานิ้วมือที่เปื้อนเลือดขีดเขียนบางสิ่งบางอย่างลงบนกระดาษ
    > > > > > และป้าก็เก็บมันมาจนถึงทุกวันนี้
    > > > > ว่าแล้วป้าเจิดก็เดินไปหยิบกระดาษแผ่นหนึ่ง
    > > > > > ที่ดูเก่าเหลือเกิน มันมีคราบเลือดอยู่จริงๆ ด้วย
    > > > > ไม่มีใครกล้าที่จะหยิบอ่าน
    > > > > > ทุกคนในขณะนี้เริ่มรู้สึกหวาดกลัวกับเรื่องราวที่ได้รับฟัง ทันใดนั้น
    > > > > ไฟจากเปลวเทียนก็ดับลงอีกครั้ง
    > > > > > หลายคนหวีดร้องด้วยความสะพรึงกลัว
    > > > ยังไม่ทันที่เสียงหวีดร้องจะเงียบสนิทดี
    > > > > > เปลวเทียนถูกจุดขึ้นอีกครั้ง แต่มันกลับถูกจุดขึ้นมา
    > > > > > พร้อมกับกระจกบานใหญ่ที่ตั้งอยู่ตรงหน้าในกระจกบานใหญ่นั้น
    > > > > > มีใบหน้าของ หญิงชราผู้หนึ่ง ผู้ที่พวกเรารู้จักกันดี เธอคือ
    > > > > “ป้าเจิด”เจ้าของโรงแรมแห่งนี้
    > > > > > “ปะ ปะ ป ป้า า . . .” ยังไม่ทันที่เราจะเรียกสติกลับคืนมา
    > ในเงากระจก
    > > > > > ภาพของป้าเจิดก็ค่อยๆ หันหลังให้พวกเรา เธอค่อยๆ
    > > > > > เดินจากไป และก่อนที่จะลับตา เธอหันกลับมาหาเราอีกครั้ง
    > > > > > แต่ครั้งนี้ ภาพที่เราได้เห็น ไม่ใช่ป้าเจิด
    มันเป็นภาพของผู้หญิงอีกคน
    > > > > ผู้หญิงคนที่ผมจำได้ว่า
    > > > > > เธอคือคนคนเดียวกับที่เราได้พบเมื่อกลางวัน เธอยิ้มให้กับพวกเรา
    > > > > ก่อนที่ภาพของเธอ
    > > > > > จะจางหายไปในกระจกเงาบานใหญ่ที่อยู่ต่อหน้า
    > > > > ผมแข็งใจหยิบกระดาษที่มีคราบเลือดเปิดอ่าน
    > > > > > หวังว่าเธออาจจะต้องการบอกอะไร กับเราบางอย่าง เธออาจจะบอกถึง
    > > > > สาเหตุของการตายของเธอ
    > > > > > กับแฟนหนุ่ม หรือ ไม่ก็อาจจจะต้องการให้เราทำอะไรบางอย่างให้เธอ .
    .
    > .
    > > > > > ขณะนี้ กระดาษเปื้อนคราบเลือด อยู่ในมือของผม เปลวไฟของแสงเทียน
    > > > > สลับกับแสงจากฟากฟ้า
    > > >
    > > > > >
    > > >
    สว่างพอที่จะให้เราสามารถที่จะอ่านข้อความในกระดาษเปื้อนรอยเลือดนี้ได้ว่า
    > > > > > "กูนึกแล้วว่ามึงต้องอ่าน"
    ●sHøNëN●
    ●sHøNëN●
    .....
    .....


    Posts : 3026
    Joined : 05/02/2009
    Location : มังงะ~
    Karma : 2

    ชมรม ขนหัวลุก!!! Empty Re: ชมรม ขนหัวลุก!!!

    ตั้งหัวข้อ  ●sHøNëN● Sun Jan 17, 2010 4:15 pm

    ชอบฟังนะ แต่ไม่อยากเจอ!

    ไม่อ๊าวว
    wanted
    wanted
    .....
    .....


    Posts : 580
    Joined : 05/06/2009
    Location : ที่ๆคนหน้าตาดีอยู่
    Karma : 0

    ชมรม ขนหัวลุก!!! Empty Re: ชมรม ขนหัวลุก!!!

    ตั้งหัวข้อ  wanted Sun Jan 17, 2010 4:18 pm

    เปงธรรมดาของคนเรา
    ●sHøNëN●
    ●sHøNëN●
    .....
    .....


    Posts : 3026
    Joined : 05/02/2009
    Location : มังงะ~
    Karma : 2

    ชมรม ขนหัวลุก!!! Empty Re: ชมรม ขนหัวลุก!!!

    ตั้งหัวข้อ  ●sHøNëN● Sun Jan 17, 2010 4:25 pm

    เคยมีประสบการณ์ด้านนี้มะ?
    wanted
    wanted
    .....
    .....


    Posts : 580
    Joined : 05/06/2009
    Location : ที่ๆคนหน้าตาดีอยู่
    Karma : 0

    ชมรม ขนหัวลุก!!! Empty Re: ชมรม ขนหัวลุก!!!

    ตั้งหัวข้อ  wanted Sun Jan 17, 2010 4:26 pm

    ไม่อะ

    แฝดทวดเคยเหรอ
    ●sHøNëN●
    ●sHøNëN●
    .....
    .....


    Posts : 3026
    Joined : 05/02/2009
    Location : มังงะ~
    Karma : 2

    ชมรม ขนหัวลุก!!! Empty Re: ชมรม ขนหัวลุก!!!

    ตั้งหัวข้อ  ●sHøNëN● Sun Jan 17, 2010 4:40 pm

    เคยแต่เล่นผีเหรียญง่ะ~
    >Useless<
    >Useless<
    .....
    .....


    Posts : 3666
    Joined : 03/02/2009
    Location : Somewhere in someone's heart :P
    Karma : 2

    ชมรม ขนหัวลุก!!! Empty Re: ชมรม ขนหัวลุก!!!

    ตั้งหัวข้อ  >Useless< Sun Jan 17, 2010 5:17 pm

    ขนหัวลุก เพราะเห็นเจ้าของกระทู้อ่ะ
    Holie
    Holie
    .....
    .....


    Posts : 307
    Joined : 11/08/2009
    Karma : 0

    ชมรม ขนหัวลุก!!! Empty Re: ชมรม ขนหัวลุก!!!

    ตั้งหัวข้อ  Holie Mon Jan 18, 2010 7:02 pm

    ขี้เกียจอ่าน ไว้ทีหลังจะมาอ่าน ตอบอย่าง Useless ละกัน
    4mCenTz>*
    4mCenTz>*
    .....
    .....


    Posts : 401
    Joined : 27/10/2009
    Location : ม่ายรู้ดิ - -
    Karma : 0

    ชมรม ขนหัวลุก!!! Empty Re: ชมรม ขนหัวลุก!!!

    ตั้งหัวข้อ  4mCenTz>* Mon Jan 18, 2010 7:03 pm

    ยาวไปมั้ย
    Holie
    Holie
    .....
    .....


    Posts : 307
    Joined : 11/08/2009
    Karma : 0

    ชมรม ขนหัวลุก!!! Empty Re: ชมรม ขนหัวลุก!!!

    ตั้งหัวข้อ  Holie Mon Jan 18, 2010 7:06 pm

    อะไร ที่ยาว ?
    >Useless<
    >Useless<
    .....
    .....


    Posts : 3666
    Joined : 03/02/2009
    Location : Somewhere in someone's heart :P
    Karma : 2

    ชมรม ขนหัวลุก!!! Empty Re: ชมรม ขนหัวลุก!!!

    ตั้งหัวข้อ  >Useless< Mon Jan 18, 2010 8:50 pm

    เฮ้ย!!!

    อะไรๆ อย่ามาจุดประกายเรื่องอย่างนี้
    ●sHøNëN●
    ●sHøNëN●
    .....
    .....


    Posts : 3026
    Joined : 05/02/2009
    Location : มังงะ~
    Karma : 2

    ชมรม ขนหัวลุก!!! Empty Re: ชมรม ขนหัวลุก!!!

    ตั้งหัวข้อ  ●sHøNëN● Mon Jan 18, 2010 9:27 pm

    ศิษย์แฝดจะคิดยังไงเนี่ย

    กระทู้ตัวเองกะลังจะถูกจุดประกายอยุ

    ฮ่าฮ่า~

      เวลาขณะนี้ Tue May 14, 2024 9:36 pm